เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒o ส.ค. ๒๕๖o

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๐ สิงหาคม ๒๕๖๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมะนะ ธรรมะนี้เป็นความสำคัญมาก ชีวิตเรามีค่าๆ ธรรมะมีค่ากว่าชีวิตนี้ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการ เห็นไหม เราจะเสียสละทรัพย์เพื่อรักษาชีวิต

เวลาเจ็บไข้ได้ป่วย เราไปโรงพยาบาลรักษาชีวิตของเรา แต่ถ้าจะได้ธรรมะต้องเสียสละชีวิตเพื่อรักษาธรรมะ ถ้าพูดถึงคนที่มีศรัทธามีความเชื่อขนาดนั้น เขาทำได้ขนาดนั้น แต่เวลาเราฟังแล้วมันจะเป็นไปได้อย่างไร มันไม่น่าจะเป็นไปได้ไง ไม่น่าเป็นไปได้เพราะอะไร เพราะเราแสวงหาความจริง ถ้าความจริง ธรรมโอสถมันจะเข้าไปชโลมในหัวใจ เข้าไปชำระล้างกิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจของเรา

แต่ในเมื่อหัวใจเรายังไม่จริงไง ความจริงมันเกิดขึ้น เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม วันที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม สัจธรรมอันนั้นปรากฏในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาเกิดในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสวยวิมุตติสุขๆ

วิมุตติสุขนี้ไม่มีใครรู้จัก ไม่มีใครเคยเห็น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เสวยวิมุตติสุขๆ ก่อน เวลาเสวยวิมุตติสุขขึ้นมาก็มีแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากับพระธรรมเท่านั้น เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธัมมจักฯ มีพระอัญญาโกณฑัญญะมีดวงตาเห็นธรรมตามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไป มันก็เลยมีรัตนตรัย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ฉะนั้น ชาวพุทธเราต้องมีรัตนตรัย มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่ง

ทีนี้พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่ง เวลาพระสงฆ์ๆ พระสงฆ์หมายถึงพระสงฆ์ตั้งแต่พระอัญญาโกณฑัญญะขึ้นไป พระสงฆ์หมายถึงพระสงฆ์ที่เป็นพระอริยเจ้า พระสงฆ์เป็นพระสงฆ์ที่เป็นความจริง มันถึงจะมีสัจจะจริงในหัวใจอันนั้น ถ้ามีสัจจะจริงในหัวใจอันนั้น ใจนั้นที่ว่าเสวยวิมุตติสุขๆ ความจริงอันนั้นน่ะ ความจริงอันนั้นพระพุทธศาสนาสำคัญ สำคัญแบบนี้ มีความสำคัญมาก สำคัญมาก

หลวงตาท่านพูดประจำ คนเราไม่มีอำนาจวาสนาไม่ได้นับถือพระพุทธศาสนานะ ถ้านับถือพระพุทธศาสนาต้องเริ่มต้นตั้งแต่พื้นฐานมา อนุปุพพิกถา หัวใจรู้จักการเสียสละ หัวใจรู้จักการเห็นน้ำใจของคน น้ำใจของคน เรื่องของทาน เรื่องของศีล เรื่องของภาวนา

นี่พูดถึงเวลาหัวใจของคนๆ เวลาจะสัจจะความจริง สัจจะความจริงมันก็ต้องมาค้นคว้าในหัวใจ เห็นไหม ถ้าไม่มีอำนาจวาสนา ไม่ได้นับถือพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนา ถึงธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถึงพระธรรมๆ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบธรรมๆ สัจธรรมอันนั้นมันละเอียดลึกซึ้งมหัศจรรย์

แต่ลัทธิศาสนาอื่นๆ ความเชื่อของเขา เขามีรูปเคารพ เขามีเป้าหมายให้อ้อนวอนขอ อ้อนวอนเพื่อให้ช่วยเหลือเจือจานเราไง แต่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าฝึกเราๆ นะ ฝึกมนุษย์ให้มนุษย์เข้มแข็งขึ้นมา ให้มนุษย์มีสติปัญญาขึ้นมา

มนุษย์มีสติปัญญาขึ้นมา สติปัญญาขึ้นมาจากไหน ตั้งแต่ฆราวาสธรรม ฆราวาสของเรา ถ้าในสังคมนะ ประเพณีวัฒนธรรมทำให้สังคมร่มเย็นเป็นสุข สังคมร่มเย็นเป็นสุขเพราะอะไร เพราะคนมีธรรม มีธรรมในหัวใจ ไม่เบียดเบียนกัน มีศีล ๕ มีศีล ๕ ไม่ลักทรัพย์ ไม่พูดปด เราไว้ใจกันได้ เราเจรจาสิ่งใดเราก็ไว้เนื้อเชื่อใจกันได้ ไอ้นี่พูดกันไม่ได้เลย ไว้ใจกันไม่ได้ทั้งสิ้น

แล้วพูดถึงถ้าเรื่องประเพณีวัฒนธรรม เรื่องของฆราวาสธรรมๆ ถ้าฆราวาสธรรม ถ้าสัจจะความจริง สัจจะความจริงเรามีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่ง แต่เวลาพระสงฆ์ๆ พระสงฆ์เวลาบวชมานี่เป็นสมมุติสงฆ์ เวลาสมมุติสงฆ์ พระสงฆ์บวชมาแล้ว พระสงฆ์ก็ไว้ใจในตัวเองพระสงฆ์ไม่ได้ พระสงฆ์เองก็ยังเอาหัวใจของเราไว้ในอำนาจของเราไม่ได้ พระสงฆ์ยังอมทุกข์อยู่ พระสงฆ์มีแต่คิดแสวงหา พระสงฆ์มีแต่การกระทำอย่างนั้น มันก็ต้องประพฤติปฏิบัติขึ้นมา

เวลาพระสงฆ์ๆ พระสงฆ์มันก็สมมุติสงฆ์ สมมุติสงฆ์บวชมาแล้วมีครูบาอาจารย์ท่านคอยเคี่ยวคอยเข็ญ คอยเคี่ยวคอยเข็ญให้ทำความจริงขึ้นมาในหัวใจอันนั้น ถ้าความจริงขึ้นมาในหัวใจอันนั้น เห็นไหม มันจะได้สัมผัสสัจธรรมอันนั้น ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง ถ้ามันเป็นจริงมันต้องเป็นจริงขึ้นมาแบบนี้ แล้วเราก็จะเป็นความจริง

สังคมบอกจะพูดจริงๆ ศีล ๕ ไม่พูดปด จะพูดแต่ความจริง

พูดแต่ความจริง ความจริงที่ไหน ความจริง ดูสิ พระสงฆ์ที่บวชมาแล้วมาศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็พูดตามความจริงนั้นน่ะ พระสงฆ์มีศีล ๒๒๗ แต่ความรู้ความเห็น ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าความรู้ความเห็นก็ศึกษามา การศึกษามา ศึกษามาด้วยหัวใจที่มีกิเลสตัณหาความทะยานอยาก พวกเรามีกิเลสตัณหาความทะยานอยาก เพราะมีอวิชชา มีความไม่รู้ ศึกษามาโดยความไม่รู้ ถ้ามันรู้ความจริงขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เป็นกิริยาอันนั้นมันก็แสดงธรรมอันนั้นไง ก็เหมือนเรา เราจะพูดความจริงๆ ความจริงที่เราเห็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น เราก็พูดตามความเห็นที่ปรากฏการณ์นั้น แต่ปรากฏการณ์นั้นมันมาจากไหนล่ะ ปรากฏการณ์นั้นมันเกิดขึ้นมาได้อย่างไรล่ะ ปรากฏการณ์นั้นมันจริงหรือมันเท็จล่ะ ตอนนี้ในทางเว็บไซด์กดไลค์ๆ กัน กดไปไม่รู้จริงหรือไม่จริง กดไปแล้ว ไม่รู้จริงหรือไม่จริง นี่ไปทั่ว

นี่ก็เหมือนกัน ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจริงหรือไม่จริง เพราะอะไร เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากาลามสูตรไง ศึกษาแล้วให้ประพฤติปฏิบัติ เวลาประพฤติปฏิบัติให้เป็นความจริงของเราขึ้นมา กาลามสูตร ไม่ให้เชื่อใครทั้งสิ้น ไม่ให้เชื่อใครทั้งสิ้น แล้วไม่เชื่อใคร แล้วเชื่อใคร ไม่ให้เชื่อใครเลย แล้วเชื่อใครล่ะ มีศรัทธามีความเชื่อ เราถึงมาค้นคว้าของเรา ถ้าค้นคว้าของเรา ถ้ามันจะเป็นความจริงของเราขึ้นมา ให้เห็นอันนี้ ให้เห็นอันนี้ ให้เห็นความจริงที่มันเกิดขึ้นมานี่ เวลามันฟุ้งมันซ่าน มันทุกข์มันยากอยู่นี่

เวลาอนุปุพพิกถา เรื่องของทาน เรื่องของศีล เรื่องของภาวนา เรื่องของทานก็เรื่องของทั่วๆ ไป แต่เวลาทั่วไป เวลาเราทุกข์เรายากกัน เราเรียกร้องที่ไหน เรียกร้องแต่ผู้ปกครอง ผู้ดูแลทั้งนั้นน่ะ เรียกร้องคนอื่นทั้งนั้นน่ะ ไม่เคยเรียกร้องหัวใจเราเลย เวลามันทุกข์มันยากขึ้นมามันทุกข์ยากที่ไหน มันทุกข์ยากที่ในหัวใจนี้ ถ้ามันไม่พอใจ

ดูสิ ในเหตุการณ์เหตุการณ์เดียวกัน บางคนเขาพอใจของเขา เขาก็มีความสงบร่มเย็นของเขา บางคนไม่พอใจนะ กระวนกระวายอยู่อย่างนั้นน่ะ นี่ก็เหมือนกัน อารมณ์ที่มันเกิดขึ้น มันเกิดขึ้นมาจากไหน ถ้ามันเกิดขึ้น นี่ไง มันจริตนิสัยของคนไง มันขัดมันแย้งไปตลอด ถ้ามันขัดมันแย้งไปตลอด นี่ไง สิ่งนี้คือธรรมะเท่านั้นจะแก้ไขได้

ในทางโลก กฎหมายปกครองดูแลนี่ถูกต้อง เพราะกฎหมาย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกมนุษย์โง่กว่าสัตว์ สัตว์คือความจริง สัตว์คือสัตว์ในป่าในเขามันมีอิสรภาพของมัน แต่เวลาเป็นสังคมแล้วมันต้องมีกฎหมายคุ้มครอง กฎหมายเพื่อความสงบร่มเย็นในสังคม นี่ไง มนุษย์เป็นผู้บัญญัติขึ้นมาเอง

เวลาสัตว์มันไปด้วยอิสรภาพของมัน ของเราต้องมีกฎมีกติกาของเรา มนุษย์โง่กว่าสัตว์ แต่เวลาสัตว์ขึ้นมา สัตว์เดรัจฉานมันก็บรรลุธรรมไม่ได้ สัตว์เดรัจฉานมันก็เลยสัญชาตญาณของมันไง แต่เวลาความเป็นอิสรภาพของมัน ความเป็นอิสระของมัน ถ้าในป่านะ แต่มันก็ต้องเสี่ยงภัยในชีวิตของมันตามกฎธรรมชาติ แต่เวลามนุษย์ขึ้นมา ผู้ที่ฉลาดๆ ไง เวลาฉลาดขึ้นมามันก็ต้องมีกฎหมายบังคับ เวลากฎหมายบังคับ เวลาคนที่มีคุณธรรมในหัวใจ กฎหมายนี่ อู้ฮู! อยู่ข้างนอกเลย กฎหมายนี้ยกไว้เลย ไม่มีเจตนา ไม่ทำอะไรผิด มันไปกลัวอะไร ไม่ได้ทำอะไรเลย เวลาไม่ทำอะไร เพราะเรามีศีล ๒๒๗ อยู่แล้ว แล้วศีล ๒๒๗ ถ้ามันล่วงศีล มันด่างมันพร้อย ภาวนามันกังวลแล้ว เวลาภาวนาขึ้นมานี่นะ มีอะไรที่สงสัยล่ะ ความลังเลสงสัยมันพยายามจะตัดทอนให้ได้ สิ่งที่ลังเลสงสัยที่มันมากีดมาขวางที่จิตเราจะลงสมาธิได้ เราจะทำความจริงของเราขึ้นมา ถ้าความจริงขึ้นมา นี่ไง เวลารัตนตรัยของเรา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พระสงฆ์ที่เป็นครูบาอาจารย์เราก็น่าเคารพนับถือนะ ถ้าไม่มีพระสงฆ์เป็นผู้สื่อสาร ไม่มีพระสงฆ์เป็นผู้คุ้มครองดูแล องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงยกธรรมะนี้ว่าเวลาปกครองให้สงฆ์ดูแลกัน ให้สงฆ์ดูแลกัน ไม่ให้ใครเป็นใหญ่ ไม่มีใครใหญ่กว่าใครทั้งสิ้น แต่ถ้ามันจะใหญ่ มันใหญ่ที่ไหน มันใหญ่ที่คุณธรรม

เวลาครูบาอาจารย์ของเราท่านมีชื่อเสียงเกียรติศัพท์เกียรติคุณของท่าน พระเขาเคารพนับถือตั้งแต่ยังไม่เห็น ชื่อเสียงขจรขจายไป กลิ่นของศีลกลิ่นของธรรมไง นั่นน่ะมันลงกันที่นั่นไง ถ้ามันลงกันที่นั่น พูดสิ่งใดมันก็ฟัง ถ้ามันไม่ลงกัน เอาอะไรไปบังคับมันก็ไม่ฟัง ถ้ามันไม่ฟังแล้วมันจะเป็นประโยชน์อะไรขึ้นมา

นี่ก็เหมือนกัน จิตใจของเราถ้ามีศรัทธาความเชื่อขึ้นมา เราปรารถนาอะไร เราปรารถนาจะพ้นจากทุกข์ เราปรารถนาจะพ้นจากทุกข์นะ ที่เรามาวัดมาวากัน เวลามาทำบุญกุศลของเรา เราสร้างอำนาจวาสนาบารมีของเรา ลำบากไหม ลำบากทั้งนั้นน่ะ เวลาพระเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนาเหงื่อไหลไคลย้อยนะ คำว่า “เหงื่อไหลไคลย้อย” เอาอะไร เอาหัวใจไว้ในอำนาจของเรา เดินจงกรมนี่แหละ นั่งสมาธินี่แหละ เอาหัวใจไว้ในอำนาจของเรา ถ้าหัวใจไว้ในอำนาจของเราขึ้นมา มันเกิดความสงบ ถ้าเกิดความสงบขึ้นมาแล้วมันจะคิดสิ่งใด มันพิจารณาสิ่งใด มันจะปลอดโปร่งแล้ว มันจะต่างกันแล้ว

ดูสิ เวลาคนอยู่กลางแดดกลางฝนขึ้นมามันทุกข์ร้อนทั้งนั้นน่ะ เวลาเข้าที่กำบังเข้าที่ร่มมันก็ปลอดภัย จิตใจเวลามันเป็นอิสระนะ มันรู้มันเห็นจากภายในน่ะ เวลามันสงบเข้ามา นี่สัมมาสมาธิ เวลาสัมมาสมาธิขึ้นมา มันมาจากไหนล่ะ มันมาจากเริ่มต้น เห็นไหม นิวรณธรรม เวลาเราประพฤติปฏิบัติอยู่นี่ ที่มันไม่ได้สมาธิเพราะอะไรล่ะ มันสงสัยไปหมด มันลังเลสงสัยไปหมด นี่ไง บารมีอ่อนด้อย

ถ้าบารมีมันเข้มแข็งขึ้นมานะ เราทำความเพียรเพื่อบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ลังเลสงสัยใดๆ ทั้งสิ้น บริกรรมของเราไป พุทโธไวๆ ก็พุทโธไวๆ ไปเลย ถ้าพุทโธหายใจเข้า หายใจออก เราพุทโธของเราไป อานาปานสติ เราก็ทำของเราไป เราทำของเราไป เราบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จิตใจ จิตใจที่ได้ดูแล จิตใจที่รักษา มันดีกว่าปล่อยทิ้งๆ ขว้างๆ ก็แล้วกันแหละ

เวลาทางโลกนะ ปัญญาชนๆ สิทธิเสรีภาพ ปล่อยมันไปร้อยแปด มันคิดไปตามประสามันเลย ยิ่งคิดยิ่งเก่ง ยิ่งคิดยิ่งกระตุ้นมัน ไปเถอะ ไม่มีวันจบวันสิ้น แต่ถ้ามีสติปัญญารักษามัน ของที่รักษาดีกว่าของทิ้งๆ ขว้างๆ จิตใจที่รักษามา เราเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา เรารักษามันอยู่แล้ว รักษาที่ไหน รักษาที่เรามีศรัทธามีความเชื่อ รักษาที่มีศรัทธามีความเชื่อนะ

งานทางโลกเขาว่าตรากตรำกันมาเพื่อความมั่นคงของชีวิต แล้วมันมั่นคงไหมล่ะ สิ่งที่ได้มา เราไม่พลัดพรากจากเขา เขาก็พลัดพรากจากเราแน่นอนอยู่แล้ว ทุกอย่างในโลกนี้เป็นอนิจจัง ไม่มีสิ่งใดคงที่หรอก แต่เราพยายามจะรักษาให้ได้ด้วยปัญญาของเรา แต่เวลาเรามีสติปัญญา เราดูแลหัวใจของเรา เวลามันสงบระงับเข้ามา เวลามันจะดีมันจะชั่ว มันจะดีมันจะชั่วที่นี่ มันเห็นของมันนะ เวลาครูบาอาจารย์ท่านประพฤติปฏิบัติมาแล้วท่านจะรำพึงตลอด ทำไมเราโง่อย่างนี้ ทำไมเราโง่อย่างนี้ แต่ถ้ามันยังไม่เข้ามาถึงตรงนี้นะ แหม! สุดยอด ฉลาด ปัญญาเยอะ

ฉลาดสุดยอดนั่นแหละกางร่ม ร่มเวลากางไปแล้ว ร่มมันกันแดดกันฝนได้ แต่นี้เปรียบเทียบในหัวใจ มันส่งออก มันกางออกไปแล้วมันหุบเข้ามาไม่ได้ พอมันกางแล้วมันหุบเข้ามาไม่ได้ มันเข้ามาสู่ตัวจิตของมันไม่ได้ นี่พุทโธๆ ก็จะหุบร่มเข้ามานั่นแหละ เวลาเราหุบร่มเข้ามา โอ้โฮ! ทำไมโง่ขนาดนี้ ทำไมโง่ขนาดนี้ ก็แค่หุบร่มเข้ามามันก็จบ แต่มันหุบไม่ได้ ปัญญาเยอะ ความรู้มาก นี่ไง เวลาศึกษาๆ มา เวลาว่าตัวเองฉลาดๆ นั่นแหละยิ่งโง่

แต่เวลาคนที่ฉลาดๆ เราไม่สงสัยใดๆ ทั้งสิ้น เราวางให้หมดแล้วเราพุทโธของเราไป ใช้ปัญญาอบรมสมาธิของเราไปนะ เวลามันหุบร่มเข้ามา ก็แค่นี้ คำว่า “ก็แค่นี้” แต่แค่นี้เกือบตาย นี่ไง เวลาภาวนามันยาก มันยากตรงนี้ไง มันยากที่จะเอาชนะหัวใจของเราไง ถ้าเอาชนะหัวใจของเรา เราจะดูแลจิตใจของเราไง

ถ้าจิตใจของเราเวลาสงบระงับเข้ามา ทุกอย่าง งานทางโลกพึ่งพาอาศัยกันได้ เวลาใครผิดพลาดพลั้งไปเขาก็ช่วยเหลือเจือจานกันได้ แต่ในการประพฤติปฏิบัติ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าชี้ทางเท่านั้น ยิ่งครูบาอาจารย์ของเรายิ่งคอยบอกคอยเคาะนะ ยิ่งรู้มากมันยิ่งวิตกกังวลมาก ยิ่งศึกษามากมันยิ่งตะครุบเงามาก ฉะนั้น เวลาหลวงตาไปหาหลวงปู่มั่น “มหา มหาเรียนมาจนถึงเป็นมหานะ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทิดใส่ศีรษะไว้”

ไอ้พวกเราก็คิดว่าไปดูถูกดูแคลน ไม่เห็นความสำคัญไง ไอ้สิ่งที่เราศึกษามา ศึกษาด้วยความไม่รู้ไง ศึกษามาจากวิชา ท่องจำกันมา วิเคราะห์วิจัยกันมา มันเป็นสุตมยปัญญาศึกษามาทางโลก มันก็เหมือนเราปัญญาชนนี่แหละ ความรู้เยอะ ต้องทำอย่างนี้ มันจะเป็นอย่างนี้ มันคาดหมายไปหมดเลย มันจินตนาการไปหมดเลย

ฉะนั้น เวลาครูบาอาจารย์ท่านถึงบอกว่า เอาสิ่งที่เราศึกษามาเก็บไว้ในลิ้นชักสมองก่อน แล้วใส่กุญแจลั่นมันไว้นะ อย่าให้มันออกมา แล้วฝืนทนภาวนาไป

ภาวนาไปก็สงสัยแล้ว เอ๊! พระพุทธเจ้าว่าอย่างนั้น พระพุทธเจ้าว่าอย่างนี้ อ้าว! มันจะเป็นอย่างนู้น มันไปหมดแหละ เวลาครูบาอาจารย์ท่านฉลาด ท่านถึงได้อบรมลูกศิษย์ให้ทำแบบนั้น ให้ทำแบบนั้นนะ เวลาเราก็พยายามบังคับเราก่อน ทำตามท่าน พอเป็นจริงๆ แล้วท่านยังบอกเลย เหมือน เป็นอย่างที่ว่าจริงๆ หลวงตาเวลาท่านปฏิบัติไปแล้วนะ ท่านบอกว่าเป็นอย่างที่หลวงปู่มั่นพูดจริงๆ พูดจริงๆ แต่ถ้าหลวงปู่มั่นไม่บอกไว้ขนาดนั้น มันต้องลำบากมากกว่านี้ เพราะอะไร เพราะศึกษามา ศึกษามามีความรู้มาก็ต้องเข้าใจว่าพุทธพจน์ๆ ทุกคนอ้างพุทธพจน์

เราก็อ้างพุทธพจน์ แต่พุทธพจน์ เวลาปฏิบัติวางไว้ก่อน เหมือนลูกหลานน่ะ ดูสิ พ่อแม่จะให้ลูกหลานไปทำธุรกิจ เขาให้ความรู้ไป เขาให้แค่นั้นแหละ ให้ทำขึ้นมา ฝึกหัดให้มันเป็นขึ้นมาก่อน ถ้ามันเป็นขึ้นมาแล้วเดี๋ยวมันจะมารักษากองมรดกอันนี้ได้

นี่ก็เหมือนกัน พุทธพจน์เป็นขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศีล สมาธิ ปัญญาเป็นของเรา เราต้องฝึกหัดฝึกฝนของเราขึ้นมา ถ้ามันฝึกหัดฝึกฝนขึ้นมาแล้วมันจะเห็นเลยว่า โอ้โฮ! สิ่งที่เป็นพุทธพจน์ที่หลวงปู่มั่นท่านบอกให้เทิดใส่ศีรษะไว้น่ะ มันเทิดใส่ศีรษะไว้จริงๆ นะ แต่เวลาพูดอย่างนี้ปั๊บมันไปแย้งไง แย้งว่าไม่ต้องศึกษาใช่ไหม ต้อง แต่ศึกษามาแล้วศึกษามาเพื่อประพฤติปฏิบัติ ศึกษามาเพื่อเป็นความจริง ไม่ใช่ศึกษาเป็นความจำ ความจำแล้วไปยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นสมบัติของเราๆ ไง พอสมบัติของเรา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พระสงฆ์เลยเป็นที่ไม่น่าไว้วางใจไง พระสงฆ์เลยเป็นคนที่เขาเห็นแล้วเขารับไม่ได้ไง

แต่ถ้ามันเป็นจริงๆ มันเป็นจริงมันเป็นที่เจตนาอันนั้น ถ้าเป็นที่เจตนาอันนั้น ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ภิกษุให้เป็นผู้เลี้ยงง่าย ภิกษุไม่ให้กวนบ้านกวนเมือง ภิกษุไม่ให้เบียดเบียนใครทั้งสิ้น ไม่ให้เบียดเบียนทั้งตัวเราและตัวเขา ถ้าไม่ใช่ญาติ ไม่ใช่ปวารณา ไม่ให้ขอเขา ภิกษุเป็นผู้ขอ ไอ้พวกขอน่ะไอ้ขี้ขอ กรรมฐานขี้ขอ เขาก็ไม่รับอีกแหละ

แต่ครูบาอาจารย์ของเราท่านไม่ทำอย่างนั้นไง ท่านไม่ได้เบียดเบียนใครทั้งสิ้น ท่านแสดงสัจจะความจริง แต่เวลาโครงการช่วยชาติๆ เราเห็นความสำคัญต่างหาก เราเห็นความสำคัญของผู้นำที่ท่านมีสติมีปัญญาช่วยเหลือ เราไปร่วมกับท่านน่ะ ท่านไม่ไปเบียดเบียนใครทั้งสิ้น เวลาลูกศิษย์ลูกหาไปช่วยเหลือเจือจานนะ ข้าวของเงินทองมันเป็นของหายาก ไอ้ผู้ที่ทำแล้วก็รู้จักประมาณ ไอ้ที่พูดๆ นี่พูดถึงคนที่เขาไม่สนใจ ไอ้ผู้ที่ไม่สนใจ ไม่ได้ช่วยเหลือเจือจาน เพราะเกิดในประเทศนี้แต่ไม่รับผิดชอบความเป็นอยู่ในประเทศนี้ ท่านพูดถึงไอ้พวกนั้น ไอ้พวกที่ได้ทำแล้วก็รู้จักยับยั้งชั่งใจ นี่เวลาท่านเตือนของท่าน นี่เวลาท่านเตือน เวลาท่านพูด พูดอย่างหนึ่ง พูดเผดียงกับกลุ่มชน เห็นไหม แกงหม้อใหญ่ๆ มันมีทั้งคนที่ศรัทธาความเชื่อสายบุญสายกรรมก็หนึ่ง ไอ้พวกที่ต่อต้านไม่เห็นด้วยก็หนึ่ง ไอ้พวกที่ปัญญาชนบอกว่าไม่ใช่กิจของสงฆ์ ไม่ใช่กิจของสงฆ์ก็หนึ่ง มันมีไปทั้งนั้นน่ะ แต่ใครจะดีใครจะชั่วเรื่องของเขา เราจะทำคุณงามความดีว่ะ ผู้ที่เขามีสติมีปัญญาของเขา เขาขวนขวายหาแต่ความจริงในใจของเขา เขาหาความจริง เห็นไหม

พระพุทธศาสนา เวลาพระพุทธศาสนา ถ้าไม่มีอำนาจวาสนาไม่ได้นับถือพระพุทธศาสนา พระพระพุทธศาสนามันเป็นวิทยาศาสตร์ทางจิต พุทธศาสน์ๆ เวลาเราเชื่อมั่นในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เวลาเชื่อมั่นแล้ว ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต ถ้าเห็นตถาคตก็เห็นในหัวใจนี้ ถ้าเห็นในหัวใจนี้ ผู้ใดประพฤติปฏิบัติ ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม มันจะเป็นความจริงขึ้นมา เป็นความจริงขึ้นมา ความจริงที่การกระทำนี่ไง ถึงว่าไม่เชื่อมงคลตื่นข่าวใดๆ ทั้งสิ้น ไม่มีที่พึ่งอื่นใดๆ ทั้งสิ้น มีที่พึ่งเฉพาะพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เท่านั้น

ถ้าเวลาไม่มีที่พึ่งใดๆ ทั้งสิ้น เราจะไปตื่นเต้นอะไรกับใครทั้งสิ้น ถ้าเขาทำได้ก็เป็นสมบัติของเขา ถ้าเราทำก็เป็นสมบัติของเรา แล้วสมบัติของเรา สมบัติของเรามันก็ได้มากได้น้อยแค่ไหน ถ้ามันได้มากขึ้นมา นี่เราเป็นชาวพุทธ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดกับพระอานนท์ไง “อานนท์ เธอบอกเขานะ บริษัท ๔ ให้ปฏิบัติบูชาเราเถิด อย่าบูชาเราด้วยอามิสเลย”

สิ่งที่บูชาด้วยธูปเทียนดอกไม้ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพาน นั่นก็เป็นอามิส สิ่งนี้เป็นอามิสทั้งนั้นน่ะ เป็นวัตถุ แต่ถ้าปฏิบัติบูชาเราเถิด เขาเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา เราภาวนาถวายองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราบูชาด้วยร่างกายของเรา เราบูชาด้วยจิตใจของเรา เอาจิตใจร่างกายนี้บูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในระหว่างที่เราภาวนา มันได้บุญไหม ปัญญาเกิดไหม นี่สำคัญเราตรงนี้ แต่ที่อื่นไปอ้อนวอนบูชาเท่านั้นแหละ

แต่ถ้าเราปฏิบัติบูชาของเรา พอปฏิบัติบูชาของเรา ผิดบ้างถูกบ้าง ไอ้ผิดก็เป็นกิเลสมันเหยียบย่ำ มันถูกขึ้นมา อื้อหืม! จิตใจเราเป็นอย่างนี้หรือ ความจริงเป็นอย่างนี้หรือ มันยิ่งเคารพบูชาไง

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการชี้เข้ามาในธรรมะ แต่เวลาเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมามันเป็นในหัวใจของเรา หัวใจของเรามันยิ่งมหัศจรรย์ๆ เพราะใจเราเป็นผู้ที่ทุกข์ที่ยาก แล้วใจเรานี่แหละจะเป็นผู้ที่พ้นทุกข์พ้นยาก ใจเราจะพ้นของเราไปเป็นสมบัติของเราไง เวลาสิ้นกิเลสไปแล้วนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สิ่งที่เวลาท่านจะนิพพาน อานนท์ เราเอาสมบัติของเราไปเท่านั้นนะ เราไม่ได้เอาสมบัติใครไปทั้งสิ้นเลย เวลาไปก็ไปด้วยคุณธรรมในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติเป็นสมบัติของผู้ที่ปฏิบัตินั้น

นี่ก็เหมือนกัน เราพยายามฟังธรรมๆ ตอกย้ำมาที่นี่ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่งของเรา แล้วเราก็พยายามประพฤติปฏิบัติให้มันเป็นความจริงในใจของเรา อย่างเช่นที่หลวงตาท่านพูด พุทธ ธรรม สงฆ์ รวมลงเป็นหนึ่งในใจ มันรวมลงสู่ฐีติจิต มันรวมสู่ความจริงอันนั้น แล้วความจริงอันนั้นจะมหัศจรรย์มาก แล้วมหัศจรรย์ ที่เราวิ่งหากัน เวลามหัศจรรย์ มหัศจรรย์กลางหัวใจเรานี้เอง เอวัง